วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ออนซอนเสียงแคน..

ออนซอนเสียงแคน..

พี่น้องเอ้ย...........
ม่วนเด้น้อ...ฟังเสียงแคน เมืองอีสานดังจ้าว
ดังมาเสียงยาวๆ ออนซอนเด้น้องพี่
เป่ามาหลายร้อยปี เป่ามาแต่พอศอใด๋บ่รู้
ผู้ใด๋เริ่มเป่าแคน เพิ่นว่าแต่ก่อนกี้
มีท้าวก่ำกาดำ ไปเล่นสาวลุน เป่าไปแคนน้อย
กาดำเป่าลายสร้อย สุดสะแนนแล่นแตร่
ก่อนหรือว่าหลัง พุทธกาลหละคุณแม่
ตอนนี้ยังบ่ฮู้ บ่อนใด๋แท้แน่นอน
ฟังเสียงแคนแล้ว มาอยากลุกฟ้อน
ออนซอนสังม่วน นวลหูเด้น้อ
หลายสมัยหลายครู เด้อหมู่หมอแคนเอ้ย
เป่าทั้งยาวทั้งเต้ย สีพันดรจ้อนเข้าใส่
เป็นจั่งใด๋หละพ่อใหญ่ ม่วนหัวใจแน่บ่น้อ...พ่อแม่เอ๋ย

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เสียงแคนแทนใจอ้าย

เสียงแคนแทนใจอ้าย

นั่งเหงาๆ คึดฮอดคนทางไกลพุ้นบายเอาแคนขึ้นมาเป่า
อยากเห็นหน้าหม่อมเจ้าคนที่อ้ายเอิ้นว่าแฟน
สุดสะแนนเสียงแคนห่าว ฝากเถิงสาวผู้ไกลห่าง
เป่ากลบความอ้างว้างลายลำเต้ย ลายลำส่อง ล่องยาว
ฟังเสียงลายลมพัดพร้าว คือจั่งสาวเจ้ายิ้มใส่
เป่าลายใหญ่ลายน้อย คือกลอยใจน้องฮ้องแอ่วลำ
เป่าทางสั้น แทนถ้อยคำรำพันในใจอ้ายที่ฮักห่วง
ฝากไปแทนความหวง อย่าสุลืมทางอ้าย คือลายน้อยสร้อยมะโน
ลายลำเพลินเล่นโป้(โป้ : หัวแม่มือ) แทนโตชายผู้นั่งเป่า
ฝากไปหอมแก้วเจ้าลายเศร้าข้าวต้องลม
พรมไล่นิ้ว สะบัดปลิว พริ้วแล้นแตร่
ฝากเทคแคร์คือลายแม่ฮ่างกล่อมลูก ผูกใจเจ้าให้ห่วงหลัง
ลายโปงลางซิ่ง คือตู๋หลูนางเจ้าเอิ้นใส่
สังศิลป์ชัย คึดฮอดดงบักหว่า เคยพาน้องไปนั่งกิน
ลายภูไทอ้อน ศรีทันดร นกไส่บินข่วมท่ง
ลายล่องโขง น้ำโตนต้อน คึดเห็นตอนเจ้าฟ้อนใส่
ลายแมงภู่ตอมดอกไม้ แทนใจอ้ายบอกฮักนาง

ขอขอบคุญผญา บ้านมหา.com

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ลายแคนทางยาว(ลายใหญ่)



ลายแคนทางยาว(ลายใหญ่)

การเป่าแคนลายทางยาว(ลายใหญ่)

ลายแคนทางยาว เป็นทำนองลายแคนที่สามารถนำไปใช้ในการบรรเลงได้ทั้งการเป่าลายใหญ่และลายน้อย เป็นกลุ่มลายแคนที่เป่าเพื่อแสดงอารมณ์โศกเศร้า คร่ำครวญ เสียใจ เหงา หรือเปล่าเปลี่ยว เป็นการเป่าบรรยายเนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนจะไม่จบง่ายหรือใช้เวลายาวนาน มีลักษณะเหมือนการไหลเอื่อยของน้ำในแม่น้ำ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง “ลายล่อง” ซึ่งมีจังหวะการบรรเลงที่ช้ากว่าลายทางสั้น มีทั้งแบบเคาะจังหวะลงตัวและแบบยืดจังหวะได้โดยอิสระ เมื่อนำมาบรรเลงและติดสูดโดยใช้เสียง ลา (ลูกที่ 8 แพขวา) กับเสียง มี (ลูกที่ 7 แพขวา) เป็นเสียงเสิร์ฟประสานหลัก (เสียง Drone) จะเป็นลายแคนที่มีระดับเสียงทุ้มใหญ่ จึงมีชื่อเรียกว่า “ลายใหญ่”

การเป่าแคนลายใหญ่ (กลุ่มเสียงทุ้มใหญ่) สามารถเป่าได้หลากหลายทำนองตามจินตนาการของผู้เป่า เช่น เป่าบรรเลงเพื่อบรรยายภาพพจน์ สภาพของท้องถิ่น ธรรมชาติ สัตว์ สิ่งของ ประเพณีความเชื่อ ฯลฯ ซึ่งการบรรเลงดังกล่าวจะทำให้เกิดเป็นลายแคนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย และยังมีลายแคนที่เป็นทำนองลายใหญ่อีกมากมายที่ยังไม่ได้นำมาเสนอในบทนี้ จึงขอให้ผู้สนใจได้ศึกษาและรวบรวมต่อไป สำหรับในบทนี้จะขอยกตัวอย่างการเป่าแคนลายใหญ่ไว้พอสังเขปเท่านั้น ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้
ตัวอย่าง การเป่าแคนลายใหญ่ (ทางยาว)


นอกจากนี้ยังมีเป่าบรรเลงในลายต่างๆอีกมากมาย เช่น 
ลายสังข์สินชัย ลายน้ำโตนตาด ลายลำภูไท ลายรำโปงลาง ลายตังหวาย ลายเต้ย(เพลงเต้ย) ฯลฯ

Cr: https://drkaen.wordpress.com/

การฝึกเป่าแคน ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก


การฝึกเป่าแคน ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก

ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก(ลายใหญ่) เป็นลายแคนหมอแคนพื้นบ้านในอดีดได้พัฒนามาจากเพลงกล่อมเด็กของคนอีสานในสมัยก่อน(ย้อนเวลากลับไปหลัง 40-50 ปีมาแล้ว) คนอีสานสมัยก่อนเวลาให้ลูกนอนเปลจะเรียกว่า “นอนอู่”ซึ่งเป็นสำเนียงภาษาอีสาน ขณะที่กล่อมลูกนอนผู้เป็นแม่ เป็นยาย หรือ ผู้ที่มีอายุมาก(ในยุคนั้น) ก็จะร้องเป็นทำนองบทกล่อมของคนอีสาน ดังบทกล่อมบางตอน ที่ว่า “นอนสาล่า บุดตาแม่สิก่อม นอนอู่แก้วสาแล้วแม่สิกวย อื่อ อื้อ แม่ไปไฮหมกไข่มาหา แม่ไปนาหมกปลามาป้อน แม่ไปส่อนหมกฮวกมาหา …….” ซึ่งกล่อมเป็นทำนองสำเนียงภาษาพูดของคนอีสานจากนั้นไม่นานเด็กที่นอนในอู่ก็จะเคลิ้มหลับไป ซึ่งบทกล่อมอันเยือกเย็นนี้เองเป็นแนวทางให้ศิลปินผู้มีอารมณ์ศิลป์ในยุคสมัยนั้นนำทำนองบทกล่อมนี้มาร้อยเรียงเป็นเสียงดนตรี โดยมีเจตนารมย์ที่จะบรรยายให้เห็นถึงสภาพหญิงม้ายที่ต้องทนต่อความทุกข์ยากลำบากในการเลี้ยงดูลูกและการทำมาหากินโดยลำพังคนเดียว ลายแม่ฮ้างกล่อมลูกนำมาบรรเลงเป็นลายแคนได้ทั้งลายน้อยและลายใหญ่ ดังนี้
โน้ตทำนอง ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก (ลายใหญ่)


การฝึกเป่าแคนลายนกไซบินข้ามทุ่ง



การฝึกเป่าแคนลายนกไซบินข้ามทุ่ง

ลายนกไซบินข้ามทุ่ง เป็นลายแคนที่นำมาบรรเลงเพื่อพรรณนาหรือบรรยายภาพพจน์ตามธรรมชาติและสื่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ในฤดุการทำไร่ ทำนา ของสังคมในชนบท เป็นการบรรยายให้เห็นสภาพที่ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลาย มีแหล่งอาหารของสัตว์นานาชนิด และจากการสังเกตกิริยาอาการของสัตว์ของหมอแคนในอดีด จึงได้ถ่ายทอดจินตนาการนั้นๆ ออกมาในรูปของเสียงดนตรีที่พวกเขาชื่นชอบ เช่นนำเอาลักษณะท่าทางการบินของนกที่บินออกหากินหรือบางพวกก็อพยพย้ายถิ่นฐานบินผ่านท้องฟ้าไป ศิลปินผู้มีอารมณ์ศิลป์เหล่านั้นจึงนำมาถ่ายทอดเป็นแนวทำนองของดนตรีดังกล่าว กลายเป็นลายแคนที่ขื่อ “ลายนกไซบินข้ามทุ่ง” และมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ลายเซิงโปงลาง” ถ้าเป็นการบรรเลงแนวทำนองที่เป็นลายใหญ่ ทางยาว จะติดสูดที่เสียง มี ลูกที่ 7 แพขวา และเสียง ลาสูงลูกที่ 8 แพขวา เพื่อทำเป็นเสียงประสานยือน(เสียงDrone) มีแนวทำนองดังตัวอย่าง ดังนี้
โน้ตทำนอง ลายนกไซบินข้ามทุ่ง (ลายใหญ่)


การเป่าแคน ลายนกไซบินข้ามทุ่ง (ลายใหญ่)

การฝึกเป่าแคน ลายภู่ตอมดอก



การฝึกเป่าแคน ลายภู่ตอมดอก


ลายภู่ตอมดอก ลายภู่ตอมดอกดั้งเดิมจริงๆแล้วเป็นลายทางสั้นที่เลียนแบบเสียงของสัตว์ ในธรรมชาติ คือ แมลงภู่ ซึ่งคนอีสานจะเรียกว่า “แมงภู่” ตัวสีน้ำเงินแก่มองดูจนขียว เวลาบินตอมดอกไม้จะมีเสียงดังหึ่งๆ วนเวียนอยู่รอบๆดอกไม้แล้วค่อยๆ บินวนเข้าวงในดอกไม้จนในที่สุดก็โฉบเอาเกสรดอกไม้ออกไป ลักษณะเสียงของแมลงภู่จะมีทำนองลีลาช้าๆ ก่อนแล้วจะเร็วกระชั้นเข้าในที่สุด หมอแคนผู้มีอารมณ์ศิลปินได้ดัดแปลงกิริยาอาการทางธรรมชาติของแมลงภู่นี้ออกมาเป็นทำนองของเสียงดนตรี โดยมุ่งเลียนแบบเสียงของหมู่แมงภู่ที่กำลังบินหึ่งๆ อยู่นอกก่อนช้าๆ แล้วค่อยกระชับเข้ามาตามลำดับ จนในที่สุดถึงจุดที่แมงภู่ขย้ำดอกไม้อย่าเมามัน เมื่อฟังลีลาของเสียงแคนจะได้ยินเป็นเสียงเล็กเสียงน้อย มีการเล่นเสียงเป็นกรณีพิเศษให้เหมือนกับเสียงแมลงภู่ที่กำลังตอมดอกไม้จริงๆ ความละเอียดบรรจงของเสียงแคนจะเหมือนคุณลักษณะของหมู่ภมรทั้งหลายที่พยายามดูดหรือนำเอาน้ำหวานจากเกสรไปโดยไม่ให้เกิดการชอกช้ำ ความสามารถของหมอแคนในช่วงนี้จึงเปรียบเหมือนความประณีตและสมบูรณ์ด้วยศิลปะในชั้นเชิงการเคล้าเกสรของหมู่ภมรที่ฉลาดนั่นเอง ในระยะหลังต่อมาได้มีผู้นำเอาลีลาอาการของหมู่ภมรนี้ไปดัดแปลงเป็นทำนองแคนขึ้นใหม่ โดยบรรเลงเป็นแนวทำนองแบบลายทางยาวที่มีเนื้อหาคล้ายทำนองเดิม สามารถนำไปบรรเลงได้ทั้งในทำนองลายใหญ่และลายน้อย สำหรับในเนื้อหานี้จะเสนอการเป่าในแนวของลายใหญ่ทางยาว ดังนี้

โน้ตทำนอง ลายภู่ตอมดอก (ลายใหญ่ ทางยาว)



การเป่าลายภู่ตอมดอก (ลายใหญ่ ทางยาว)

การฝึกเป่าแคนลายลมพัดพร้าว



การฝึกเป่าแคนลายลมพัดพร้าว


ลายลมพัดพร้าว(ลายใหญ่) การเป่าแคนลายลมพัดพร้าว จัดอยู่ในกลุ่มลายแคนประเภทการบรรยายภาพพจน์ กล่าวคือศิลปินผู้เป็นหมอแคนพื้นบ้านในอดีดได้สร้างสรรค์แนวทำนองนี้ขึ้นเพื่อสะท้อนจินตนาการให้เห็นถึงความงาม อ่อนโยน อ่อนไหว ของธรรมชาติแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มชนนั้นๆในอดีด เข่น ต้นไม้ ผู้คน สัตว์ สิ่งของ แหล่งน้ำ ขนบธรรมเนียมประเพณี และสถานที่ต่างๆ แล้วนำมาร้อยเรียงและถ่ายทอดจินตนาการอันสร้างสรรค์นั้นด้วยเสียงดนตรีที่เขาชื่นชอบ นั่นคือแคนนั่นเอง เมื่อจดจำสืบทอดกันมาเป็นเวลานานก็ย่อมมีการสร้างสรรค์ทำนองให้แปลกแหวกแนวออกไปบ้างเพื่อเป็นเอกลักษณ์ของหมอแคนแต่ละคน ลายแคนที่มีชื่อว่า “ลายลมพัดพร้าว” ก็มีความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมดังกล่าวเช่นกัน คือ ผู้ประพันธ์ทำนองนี้ต้องการถ่ายทอดเจตนารมย์ไปสู่ผู้ฟังตามจินตนาการของตนเพื่อให้เห็นความงามหรือความไพเราะและเยือกเย็นของสายลมที่กำลังพัดใบมะพร้าวโอนเอนอ่อนไหวไปมาช้าๆเนิบนาบ ได้ยินเสียงสายลทที่พัดใบมะพร้าวปลิวสะบัดคล้ายลีลาเสียงดนตรีที่มีความไพเราะ จึงเรียกชื่อว่า“ลายลมพัดพร้าว” นอกจากนี้ในปัจจุบันยังได้นำเอาลายลมพัดพร้าวไปบรรเลงประกอบการแสดงที่เรียกว่า “รำภูไทสามเผ่า” ด้วย ซึ่งมีแนวทำนองที่บรรเลงเป็นลายใหญ่ ดังนี้

โน้ตทำนอง ลายลมพัดพร้าว(ลายใหญ่)