วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เสียงแคนแทนใจอ้าย

เสียงแคนแทนใจอ้าย

นั่งเหงาๆ คึดฮอดคนทางไกลพุ้นบายเอาแคนขึ้นมาเป่า
อยากเห็นหน้าหม่อมเจ้าคนที่อ้ายเอิ้นว่าแฟน
สุดสะแนนเสียงแคนห่าว ฝากเถิงสาวผู้ไกลห่าง
เป่ากลบความอ้างว้างลายลำเต้ย ลายลำส่อง ล่องยาว
ฟังเสียงลายลมพัดพร้าว คือจั่งสาวเจ้ายิ้มใส่
เป่าลายใหญ่ลายน้อย คือกลอยใจน้องฮ้องแอ่วลำ
เป่าทางสั้น แทนถ้อยคำรำพันในใจอ้ายที่ฮักห่วง
ฝากไปแทนความหวง อย่าสุลืมทางอ้าย คือลายน้อยสร้อยมะโน
ลายลำเพลินเล่นโป้(โป้ : หัวแม่มือ) แทนโตชายผู้นั่งเป่า
ฝากไปหอมแก้วเจ้าลายเศร้าข้าวต้องลม
พรมไล่นิ้ว สะบัดปลิว พริ้วแล้นแตร่
ฝากเทคแคร์คือลายแม่ฮ่างกล่อมลูก ผูกใจเจ้าให้ห่วงหลัง
ลายโปงลางซิ่ง คือตู๋หลูนางเจ้าเอิ้นใส่
สังศิลป์ชัย คึดฮอดดงบักหว่า เคยพาน้องไปนั่งกิน
ลายภูไทอ้อน ศรีทันดร นกไส่บินข่วมท่ง
ลายล่องโขง น้ำโตนต้อน คึดเห็นตอนเจ้าฟ้อนใส่
ลายแมงภู่ตอมดอกไม้ แทนใจอ้ายบอกฮักนาง

ขอขอบคุญผญา บ้านมหา.com

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ลายแคนทางยาว(ลายใหญ่)



ลายแคนทางยาว(ลายใหญ่)

การเป่าแคนลายทางยาว(ลายใหญ่)

ลายแคนทางยาว เป็นทำนองลายแคนที่สามารถนำไปใช้ในการบรรเลงได้ทั้งการเป่าลายใหญ่และลายน้อย เป็นกลุ่มลายแคนที่เป่าเพื่อแสดงอารมณ์โศกเศร้า คร่ำครวญ เสียใจ เหงา หรือเปล่าเปลี่ยว เป็นการเป่าบรรยายเนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนจะไม่จบง่ายหรือใช้เวลายาวนาน มีลักษณะเหมือนการไหลเอื่อยของน้ำในแม่น้ำ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง “ลายล่อง” ซึ่งมีจังหวะการบรรเลงที่ช้ากว่าลายทางสั้น มีทั้งแบบเคาะจังหวะลงตัวและแบบยืดจังหวะได้โดยอิสระ เมื่อนำมาบรรเลงและติดสูดโดยใช้เสียง ลา (ลูกที่ 8 แพขวา) กับเสียง มี (ลูกที่ 7 แพขวา) เป็นเสียงเสิร์ฟประสานหลัก (เสียง Drone) จะเป็นลายแคนที่มีระดับเสียงทุ้มใหญ่ จึงมีชื่อเรียกว่า “ลายใหญ่”

การเป่าแคนลายใหญ่ (กลุ่มเสียงทุ้มใหญ่) สามารถเป่าได้หลากหลายทำนองตามจินตนาการของผู้เป่า เช่น เป่าบรรเลงเพื่อบรรยายภาพพจน์ สภาพของท้องถิ่น ธรรมชาติ สัตว์ สิ่งของ ประเพณีความเชื่อ ฯลฯ ซึ่งการบรรเลงดังกล่าวจะทำให้เกิดเป็นลายแคนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย และยังมีลายแคนที่เป็นทำนองลายใหญ่อีกมากมายที่ยังไม่ได้นำมาเสนอในบทนี้ จึงขอให้ผู้สนใจได้ศึกษาและรวบรวมต่อไป สำหรับในบทนี้จะขอยกตัวอย่างการเป่าแคนลายใหญ่ไว้พอสังเขปเท่านั้น ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้
ตัวอย่าง การเป่าแคนลายใหญ่ (ทางยาว)


นอกจากนี้ยังมีเป่าบรรเลงในลายต่างๆอีกมากมาย เช่น 
ลายสังข์สินชัย ลายน้ำโตนตาด ลายลำภูไท ลายรำโปงลาง ลายตังหวาย ลายเต้ย(เพลงเต้ย) ฯลฯ

Cr: https://drkaen.wordpress.com/

การฝึกเป่าแคน ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก


การฝึกเป่าแคน ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก

ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก(ลายใหญ่) เป็นลายแคนหมอแคนพื้นบ้านในอดีดได้พัฒนามาจากเพลงกล่อมเด็กของคนอีสานในสมัยก่อน(ย้อนเวลากลับไปหลัง 40-50 ปีมาแล้ว) คนอีสานสมัยก่อนเวลาให้ลูกนอนเปลจะเรียกว่า “นอนอู่”ซึ่งเป็นสำเนียงภาษาอีสาน ขณะที่กล่อมลูกนอนผู้เป็นแม่ เป็นยาย หรือ ผู้ที่มีอายุมาก(ในยุคนั้น) ก็จะร้องเป็นทำนองบทกล่อมของคนอีสาน ดังบทกล่อมบางตอน ที่ว่า “นอนสาล่า บุดตาแม่สิก่อม นอนอู่แก้วสาแล้วแม่สิกวย อื่อ อื้อ แม่ไปไฮหมกไข่มาหา แม่ไปนาหมกปลามาป้อน แม่ไปส่อนหมกฮวกมาหา …….” ซึ่งกล่อมเป็นทำนองสำเนียงภาษาพูดของคนอีสานจากนั้นไม่นานเด็กที่นอนในอู่ก็จะเคลิ้มหลับไป ซึ่งบทกล่อมอันเยือกเย็นนี้เองเป็นแนวทางให้ศิลปินผู้มีอารมณ์ศิลป์ในยุคสมัยนั้นนำทำนองบทกล่อมนี้มาร้อยเรียงเป็นเสียงดนตรี โดยมีเจตนารมย์ที่จะบรรยายให้เห็นถึงสภาพหญิงม้ายที่ต้องทนต่อความทุกข์ยากลำบากในการเลี้ยงดูลูกและการทำมาหากินโดยลำพังคนเดียว ลายแม่ฮ้างกล่อมลูกนำมาบรรเลงเป็นลายแคนได้ทั้งลายน้อยและลายใหญ่ ดังนี้
โน้ตทำนอง ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก (ลายใหญ่)


การฝึกเป่าแคนลายนกไซบินข้ามทุ่ง



การฝึกเป่าแคนลายนกไซบินข้ามทุ่ง

ลายนกไซบินข้ามทุ่ง เป็นลายแคนที่นำมาบรรเลงเพื่อพรรณนาหรือบรรยายภาพพจน์ตามธรรมชาติและสื่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ในฤดุการทำไร่ ทำนา ของสังคมในชนบท เป็นการบรรยายให้เห็นสภาพที่ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลาย มีแหล่งอาหารของสัตว์นานาชนิด และจากการสังเกตกิริยาอาการของสัตว์ของหมอแคนในอดีด จึงได้ถ่ายทอดจินตนาการนั้นๆ ออกมาในรูปของเสียงดนตรีที่พวกเขาชื่นชอบ เช่นนำเอาลักษณะท่าทางการบินของนกที่บินออกหากินหรือบางพวกก็อพยพย้ายถิ่นฐานบินผ่านท้องฟ้าไป ศิลปินผู้มีอารมณ์ศิลป์เหล่านั้นจึงนำมาถ่ายทอดเป็นแนวทำนองของดนตรีดังกล่าว กลายเป็นลายแคนที่ขื่อ “ลายนกไซบินข้ามทุ่ง” และมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ลายเซิงโปงลาง” ถ้าเป็นการบรรเลงแนวทำนองที่เป็นลายใหญ่ ทางยาว จะติดสูดที่เสียง มี ลูกที่ 7 แพขวา และเสียง ลาสูงลูกที่ 8 แพขวา เพื่อทำเป็นเสียงประสานยือน(เสียงDrone) มีแนวทำนองดังตัวอย่าง ดังนี้
โน้ตทำนอง ลายนกไซบินข้ามทุ่ง (ลายใหญ่)


การเป่าแคน ลายนกไซบินข้ามทุ่ง (ลายใหญ่)

การฝึกเป่าแคน ลายภู่ตอมดอก



การฝึกเป่าแคน ลายภู่ตอมดอก


ลายภู่ตอมดอก ลายภู่ตอมดอกดั้งเดิมจริงๆแล้วเป็นลายทางสั้นที่เลียนแบบเสียงของสัตว์ ในธรรมชาติ คือ แมลงภู่ ซึ่งคนอีสานจะเรียกว่า “แมงภู่” ตัวสีน้ำเงินแก่มองดูจนขียว เวลาบินตอมดอกไม้จะมีเสียงดังหึ่งๆ วนเวียนอยู่รอบๆดอกไม้แล้วค่อยๆ บินวนเข้าวงในดอกไม้จนในที่สุดก็โฉบเอาเกสรดอกไม้ออกไป ลักษณะเสียงของแมลงภู่จะมีทำนองลีลาช้าๆ ก่อนแล้วจะเร็วกระชั้นเข้าในที่สุด หมอแคนผู้มีอารมณ์ศิลปินได้ดัดแปลงกิริยาอาการทางธรรมชาติของแมลงภู่นี้ออกมาเป็นทำนองของเสียงดนตรี โดยมุ่งเลียนแบบเสียงของหมู่แมงภู่ที่กำลังบินหึ่งๆ อยู่นอกก่อนช้าๆ แล้วค่อยกระชับเข้ามาตามลำดับ จนในที่สุดถึงจุดที่แมงภู่ขย้ำดอกไม้อย่าเมามัน เมื่อฟังลีลาของเสียงแคนจะได้ยินเป็นเสียงเล็กเสียงน้อย มีการเล่นเสียงเป็นกรณีพิเศษให้เหมือนกับเสียงแมลงภู่ที่กำลังตอมดอกไม้จริงๆ ความละเอียดบรรจงของเสียงแคนจะเหมือนคุณลักษณะของหมู่ภมรทั้งหลายที่พยายามดูดหรือนำเอาน้ำหวานจากเกสรไปโดยไม่ให้เกิดการชอกช้ำ ความสามารถของหมอแคนในช่วงนี้จึงเปรียบเหมือนความประณีตและสมบูรณ์ด้วยศิลปะในชั้นเชิงการเคล้าเกสรของหมู่ภมรที่ฉลาดนั่นเอง ในระยะหลังต่อมาได้มีผู้นำเอาลีลาอาการของหมู่ภมรนี้ไปดัดแปลงเป็นทำนองแคนขึ้นใหม่ โดยบรรเลงเป็นแนวทำนองแบบลายทางยาวที่มีเนื้อหาคล้ายทำนองเดิม สามารถนำไปบรรเลงได้ทั้งในทำนองลายใหญ่และลายน้อย สำหรับในเนื้อหานี้จะเสนอการเป่าในแนวของลายใหญ่ทางยาว ดังนี้

โน้ตทำนอง ลายภู่ตอมดอก (ลายใหญ่ ทางยาว)



การเป่าลายภู่ตอมดอก (ลายใหญ่ ทางยาว)

การฝึกเป่าแคนลายลมพัดพร้าว



การฝึกเป่าแคนลายลมพัดพร้าว


ลายลมพัดพร้าว(ลายใหญ่) การเป่าแคนลายลมพัดพร้าว จัดอยู่ในกลุ่มลายแคนประเภทการบรรยายภาพพจน์ กล่าวคือศิลปินผู้เป็นหมอแคนพื้นบ้านในอดีดได้สร้างสรรค์แนวทำนองนี้ขึ้นเพื่อสะท้อนจินตนาการให้เห็นถึงความงาม อ่อนโยน อ่อนไหว ของธรรมชาติแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มชนนั้นๆในอดีด เข่น ต้นไม้ ผู้คน สัตว์ สิ่งของ แหล่งน้ำ ขนบธรรมเนียมประเพณี และสถานที่ต่างๆ แล้วนำมาร้อยเรียงและถ่ายทอดจินตนาการอันสร้างสรรค์นั้นด้วยเสียงดนตรีที่เขาชื่นชอบ นั่นคือแคนนั่นเอง เมื่อจดจำสืบทอดกันมาเป็นเวลานานก็ย่อมมีการสร้างสรรค์ทำนองให้แปลกแหวกแนวออกไปบ้างเพื่อเป็นเอกลักษณ์ของหมอแคนแต่ละคน ลายแคนที่มีชื่อว่า “ลายลมพัดพร้าว” ก็มีความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมดังกล่าวเช่นกัน คือ ผู้ประพันธ์ทำนองนี้ต้องการถ่ายทอดเจตนารมย์ไปสู่ผู้ฟังตามจินตนาการของตนเพื่อให้เห็นความงามหรือความไพเราะและเยือกเย็นของสายลมที่กำลังพัดใบมะพร้าวโอนเอนอ่อนไหวไปมาช้าๆเนิบนาบ ได้ยินเสียงสายลทที่พัดใบมะพร้าวปลิวสะบัดคล้ายลีลาเสียงดนตรีที่มีความไพเราะ จึงเรียกชื่อว่า“ลายลมพัดพร้าว” นอกจากนี้ในปัจจุบันยังได้นำเอาลายลมพัดพร้าวไปบรรเลงประกอบการแสดงที่เรียกว่า “รำภูไทสามเผ่า” ด้วย ซึ่งมีแนวทำนองที่บรรเลงเป็นลายใหญ่ ดังนี้

โน้ตทำนอง ลายลมพัดพร้าว(ลายใหญ่)


การฝึกเป่าแคนลายลมพัดไผ่



การฝึกเป่าแคนลายลมพัดไผ่


การเป่าแคน ลายลมพัดไผ่ เป็นลายแคนที่เกิดจากการบรรยายภาพพจน์อีกแบบหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะหรือสภาพความงามทางธรรมชาติอีกด้นหนึ่ง ที่มีความเกี่ยวข้องกับสภาพวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และความผูกพันของคนกับสิ่งแวดล้อมในช่วงกาลเวลานั้นๆ อีกทั้งยังเป็น การบรรยายให้เห็นถึงศิลปะและความงามที่มีอยู่ในธรรมชาติแล้วนำมาถ่ายทอดในลักษณะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชนนั้นๆ ดังจะเห็นได้จากศิลปะการแสดงกลุ่มชนในแถบฝั่งขวาของแม่น้ำโขง เช่น จังหวัดนครพนม จะนำเอาลายแคนที่เรียกชื่อว่า “ลายลมพัดไผ่” นำไปประกอบการแสดงที่ชื่อว่า “ลำศรีโคตรบูรณ์” ซึ่งการบรรเลงลายทำนองของแคนอาจจะแตกต่างกันไปตามจินตนาการและการใช้ลูกเล่นหรือกลเม็ดเด็ดพลายของหมอแคนแค่ละคนที่พยายามจะสร้างสรรค์เสียงแคนให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน แต่สิ่งที่ยังคงไว้ก็คือแนวทำนองของแคนที่เป็นลายทางยาว และกลุ่มเสียงที่เป็นทำนองของคำว่า “ลายใหญ่” คือใช้เสียง ลา และเสียง มีสูง เป็นเสี ยงประสานยืน(เสียงDrone)ตลอดแนวทำนองการบรรเลง ดังตัวอย่างการฝึกเป่าลายลมพัดไผ่ ดังนี้

การเป่าแคนลายลมพัดไผ่ (ทำนองลายใหญ่ทางยาว)

ลายลำเพลิน(ลายใหญ่)



ลายลำเพลิน(ลายใหญ่)

การเป่าแคนลายลำเพลิน เป็นการแคนลายลำเพลิน เป็นการเป่าแคนประกอบการละเล่นพื้นเมืองของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในแถบอีสานตอนกลางทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง และอีสานตอนบนบางส่วน ซึ่งแพร่กระจายลึกเข้าไปทางตะวันตกถึงแถบจังหวัดชัยภูมิและเพชรบูรณ์ การแสดงที่เรียกชื่อว่าหมอลำประเภทลำเพลินกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในช่วงประมาณ ปี พ.ศ. 25105 ถึง พ.ศ. 2525 หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มได้รับความสนใจนอ้ยลงเรื่อยๆ เนื่องจากวัฒนธรรมดนตรีตะวันตกได้หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เด็กๆ และเยาวชนส่วนใหญ่หันไปนิยมในวัฒนธรรมดนตรีและการแสดงของชาวตะวันตกกันมาก จนกระทั่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเด็กๆและเยาวชนที่สนใจในดนตรีและการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของคนอีสานนั้นมีน้อย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนอีสานจะต้องร่วมมือกันหาทางอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ดีงามของตนไว้ โดยเฉพาะเสียงลำเสียงแคนที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมดนตรีของคนอีสาน การเป่าแคนลายลำเพลินก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะหาชมการแสดงได้ยากแต่ก็สามารถนำแคนมาบรรเลงเป็นทำนองที่เรียกว่า “ลายลำเพลิน” ได้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีการพัฒนาแนวทำนองเป็นหลายทำนอง เช่น ลำเพลินแก้วหน้าม้า ลำเพลินมะโนราห์ ลำเพลินประยุกต์ ตามควานิยมของแต่ละท้องถิ่นดังนี้เป็นต้น ในเรื่องนี้จะนำเสนอการฝึกเป่าลายลำเพลิน(เป่าแบบลายใหญ่ ทางยาว) ดังนี้

การฝึกเป่าลายลำเพลินแก้วหน้าม้า


ลายเต้ย(ลำเต้ย)



ลายเต้ย(ลำเต้ย)

ลายเต้ย เป็นลายแคนที่ใช้ประกอบการลำ ที่เรียกว่า “ลำเต้ย” ซึ่งเป็นการลำที่แทรกอยู่ในช่วงของการที่เรียกว่า “ลำล่อง” กล่าวคือในขณะที่หมอลำกำลังลำล่องตามทำนองลำไปเรื่อยๆ นั้นจะมีการเต้ยสลับกลอนลำไปเป็นช่วงๆ เพื่อเพิ่มความสนุกสนานและเนื้อหาสาระของการลำ การเต้ยจะมี 3 แแบ คือ เต้ยธรรมดา เต้ยโขง และ เต้ยพม่า โดยปกติจะเริ่มที่การเต้ยแบบธรรมดาก่อน แล้วจึงจะเป็นเต้ยพม่าหรือเต้ยโขงสลับกันไปตามเนื้อหาสาระของการลำ ฉะนั้นหมอแคนก็ต้องเป่าแคนประกอบการลำตามเนื้อหาทำนองที่หมอลำแสดง บางครั้งก็จะเป็นการลำเต้ยเพื่อตอบโต้หรือคู่กันระหว่างหมอลำฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง ฉะนั้นหมอแคนก็ต้องเป่าลายแคนให้กลมกลืนกับสำเนียงลำของหมอลำทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และในการเป่าลายเต้ยแบบลายใหญ่ก็ติดสูดแคนที่เสียง มี ลูกที่ 7 แพขวา และเสียงลาสูง ลูกที่ 8 แพขวา เช่นเดียวกับการเป่าลายใหญ่อื่นๆ ดังตัวอย่าง

การเป่าลายเต้ย(ลายใหญ่)

Cr: https://drkaen.wordpress.com

ลายอ่านหนังสือใหญ่(ลายล่องใหญ)



ลายอ่านหนังสือใหญ่(ลายล่องใหญ)


 ลายล่องใหญ่ ที่เรียกชื่อว่า “ลายล่องใหญ่”หรือ“ลายอ่านหนังสือใหญ่”เพราะมีท่วงทำนอง คล้ายกับการอ่านหนังสือผูก ซึ่งเป็นหนังสือโบราณ ที่จารึกหรือเขียนลงบนใบลานแล้วนำมาร้อยด้วยด้ายเล็กๆ ติดกัน หนังสือนี้มักจะมีความยาวหลายๆ หน้า ผู้อ่านจะอ่านด้วยทำนองค่อนข้างช้าและมีการเอื้อนเสียง
การติดสูด
จะติดสูดที่ลูกแคนลูกที่ 8 และลูกที่ 7 แพขวา เพื่อใช้เป็นเสียงประสานยืน(เสียง Drone) หรือบางครั้งก็เรียกว่า เสียงเสิร์ฟประสานหลัก ซึ่งก็หมายถึงการประสานทำนองด้วยเสียง ลา และเสียง มี เช่นเดียวกัน
,Center>

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561

ดนครีพื้นบ้านแคน (แคน)

ดนครีพื้นบ้านแคน
(แคน)

แคน เป็นเครื่องเป่าหรือเครื่องดนตรีพื้นเมืองของภาคอีสานในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นเครื่องดนตรีของชาวลาวหรือ สปป.ลาว และถือเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของชนชาติลาวอีกด้วย โดยเครื่องดนตรีชนิดนี้จะใช้ไม้ซางขนาดต่าง ๆ ประกอบกันเข้าเป็นตัวแคน แคนเป็นเครื่องเป่ามีลิ้นโลหะ เสียงเกิดจากลมผ่านลิ้นโลหะไปตามลำไม้ที่เป็นลูกแคน การเป่าแคนต้องใช้ทั้งเป่าลมเข้าและดูดลมออกด้วย จึงเป่ายากพอสมควรและแคนมีหลายขนาด ถือเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่ให้เสียงไพเราะ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างเสียงประสานได้ในตัวเอง บ่งบอกถึงวิถีชีวิตของชาวลุ่มแม่น้ำโขงได้เป็นอย่างดี










วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

การเก็บและดูแลรักษาแคน

การเก็บและดูแลรักษาแคน


การเก็บและดูแลรักษาแคน 

แคน เป็นเครื่องดนตรีที่ต้องการความเอาใจใส่ ทะนุถนอมดูแลรักษา เป็นอย่างมาก เพราะว่าแคนเป็นเครื่องดนตรีที่เปราะบาง ชำรุดเสียหายง่าย ผู้ใช้จึงควรทราบวิธีการดูแลรักษาอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้
ควรจะเป่าอยู่เสมอ การเป่าบ่อย ๆ จะทำให้แคนมีเสียงดีและนุ่มนวล หากปล่อยไว้นาน ไม่เป่าเลย ลิ้นแคนอาจขึ้นสนิมเขียว สนิมดำ ทำให้เสียงเพี้ยนได้
ควรเก็บแคนไว้ในกล่องที่แข็งแรง และมีฝาปิดที่มิดชิด เพื่อกันการกระแทก กันแตก กันแมลงและฝุ่นมิให้ไปจับเกาะ ตามรูลูกแคนและตามลิ้นแคน จะทำให้แคนชำรุดได้ อย่างน้อยที่สุดก็ควรเก็บรักษาแคนไว้ในถุงผ้าที่ปิดได้สนิท และแขวนไว้ในที่ที่ทนทาน ปลอดภัย... หากวางตั้งไว้ อาจล้มแตกเสียหายได้
ไม่ควรนำแคนไปวางตากแดด หรือเอาไว้ใกล้ไฟ หรือเผลอวางไว้ในที่อุณหภูมิสูง เพราะจะทำให้ขี้สูดที่อุดตามเต้าแคนเยิ้ม ไปเกาะติดลิ้นแคน อาจเป็นสาเหตุให้เป่าไม่ดัง เพราะลิ้นแคนไม่สั่นสะเทือน
ไม่ควรนำแคนไปจุ่มน้ำ โดยเข้าใจผิดว่าจะเป็นการทำความสะอาดแคน เพราะจะทำให้ลิ้นแคนเป็นสนิมได้
ถ้าลูกแคนแตกเพียงเล็กน้อย อาจซ่อมแซมได้ โดยใช้กาวตราช้างติด หรือใช้เทปใสพันติดไว้ ให้คงรูปในสภาพที่ดีอย่างเดิม แต่ถ้าแตกมากก็ต้องเปลี่ยนลูกแคนนั้นใหม่ จึงจะใช้การได้ดีเช่นเดิม
ลูกแคนที่ แตกเลยรูแพวล่างขึ้นมาทางเต้าแคนก็ดี แตกเลยรูแพวบนลงมาทางเต้าแคนก็ดี จะทำให้เสียงเพี้ยน ต้องใช้กาวตราช้างติดรอยแตกให้สนิท แต่ถ้าแตกมาก ไม่สามารถติดซ่อมได้ ควรนำไปให้ช่างแคนเปลี่ยนลูกใหม่
การซ่อมแคนกรณีปัญหาลิ้นนอง ช่างแคนทุกคน สามารถซ่อมแก้ไขให้ดีได้ดังเดิม แต่หากเป็นการเปลี่ยนลูกแคน การเปลี่ยนลิ้นแคน ควรนำไปให้ช่างแคนที่ทำแคนเต้านั้น เป็นคนซ่อม จะดีที่สุด เพราะหากนำไปให้ช่างแคนคนอื่นเปลี่ยนลิ้น ลิ้นแคนที่ช่างแคนแต่ละคนใช้ อาจจะมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน อันเป็นสาเหตุให้ เมื่อใช้ลมเท่ากัน ลิ้นแคนเดิมกับลิ้นแคนใหม่ ให้เสียงดังไม่เท่ากัน... แต่ถ้าจำเป็น ควรให้ช่างแคนนั้น เปลี่ยนลิ้นแคนใหม่ทั้งหมด เพื่อคุณภาพเสียงที่ดี

Cr: http://pincansawmusic.blogspot.com/

ประเภทของแคน

ประเภทของแคน



ประเภทของแคน
ประเภทของแคน อาจแบ่งได้หลายลักษณะ ในที่นี้ จะแบ่งประเภทของแคน ใน 3 ลักษณะ คือ แบ่งตามจำนวนลูกแคน, แบ่งตามระดับเสียงหรือคีย์ แบ่งตามลิ้นแคน


แบ่งตามจำนวนลูกจะได้ดังนี้
แคนหก มีลูกแคน 6 ลูก (3 คู่)
แคนเจ็ด มีลูกแคน 7 คู่ (14 ลูก )
แคนแปด มีลูกแคน 8 คู่ (16 ลูก)
แคนเก้า มีลูกแคน 9 คู่ (18 ลูก)
แคนสิบ มีลูกแคน 10 ลูก (5 คู่)
โดยแคนที่นิยมและถือว่าเป็นมาตรฐานคือ แคนแปด













แบ่งตามระดับเสียงหรือคีย์ เช่น
แคนห้าโป้
แคนหกโป้
แคนเจ็ดโป้
แคนแปดโป้
แคนเก้าโป้...
จริงๆแล้ว การแบ่งแบบนี้ ไม่ใช่ประเภทของแคน แต่เป็นชื่อเรียกของคีย์แคน


แบ่งตามลิ้นแคน จะได้
แคนลิ้นเงิน
แคนลิ้นทอง (แดง)
แคนลิ้นทอง (เหลือง)
โดยแคนลิ้นเงิน เป็นแคนที่ให้เสียงไพเราะ นุ่มนวล เป็นที่นิยมของหมอแคนอาชีพ ที่สุด


เทคนิคการเป่าแคน

เทคนิคการเป่าแคน


.:: เทคนิคการเป่าแคน ::.

การเป่าแคนจะนั่งเป่าหรือยืนเป่าก็ได้ โดยมีวิธีการเป่าแคนดังนี้
1. จับแคนโดยใช้มือทั้ง 2 ข้าง จับที่เต้าแคน ให้แน่น ในอุ้งมือ
2. ใช้นิ้วทั้ง 5 ปิดรูเสียงตามที่ต้องการ
3. ใช้ปากเป่า โดยใช้ลมเข้า-ออก ตามเสียงที่ต้องการ
4. ขยับนิ้วตามเสียงที่ต้องการ




    หมอแคนสุวัฒน์  อยู่แท้กูล
 โน้ตแคน
มือซ้ายลูกที่
มือขวาลูกที่
ระดับเสียงที่ได้
1
2
โด
3
6
เร
4
7
มี
5-7
-
ฟา
6
3
ซอล
-
1-4
ลา
2
5
ที

    การใช้นิ้วปิดรูเสียงแคน
    โน้ตแคน
นิ้วมือซ้าย
ลูกที่
ระดับเสียงที่ได้
หัวแม่มือ
1
โด
ชี้
2-3
ที-เร
กลาง
4-5
มี-ฟา
นาง
6-7
ซอล-ฟา
ก้อย
8
เสพซ้าย

     การใช้นิ้วปิดรูเสียงแคน
     โน้ตแคน
               
นิ้วมือซ้าย
ลูกที่
ระดับเสียงที่ได้
หัวแม่มือ
1
ลา
ชี้
2-3
โด-ซอล
กลาง
4-5
ลา-ที
นาง
6-7
เร-มี
ก้อย
8
เสพขวา

ตำนานกำเนิดแคน

ตำนานกำเนิดแคน



ตำนานกำเนิดแคน

นายพรานผู้หนึ่งตามล่ากวางเข้าไปในป่าลึก บังเอิญไปได้ยินเสียงนกการเวก เสียงนั้นหวานเสนาะไพเราะจับใจเหลือประมาณ ทำเอาความเหน็ดเหนื่อยหิวกระหายของเขาปลาสน์สิ้น เมื่อกลับมายังหมู่บ้านก็อดไม่ได้ที่จะเล่าถึงเสียงอันวิเศษนั้นให้ใครต่อใครฟัง ทำเอาสาวแม่ม่ายนางหนึ่งรบเร้าขอติดตามเข้าไปในป่า เพื่อฟังเสียงนกการเวกนั้นให้ได้ นายพรานเองก็ยินดีให้นางติดตาม ในคราวเข้าป่าล่าสัตว์ในเที่ยวถัดมา เสียงของนกการเวกวิเศษจริงดังที่นายพรานเล่า หญิงแม่ม่ายได้ฟังแล้วติดใจ อยากจะจับมาเลี้ยงไว้ก็สุดปัญญา เพราะนกตัวเล็กบินว่องไว นางจึงพยายามจดจำเสียงนั้นไว้ให้แม่นยำ ตั้งใจว่าจักต้องประดิษฐ์เครื่องดนตรีสักอย่างหนึ่ง มาบรรเลงให้เหมือนเสียงนกการเวกนั้นให้จงได้นางได้ทดลองทำเครื่องดนตรีขึ้นหลายชนิด มีทั้งดีดสีตีเป่า แต่ก็ยังไม่มีเสียงใดเหมือนเสียงนกการเวกเลยสักเครื่องเดียว นางพยายามคิดค้นและประดิษฐ์เครื่องดนตรีชนิดใหม่ต่อไปเรื่อยๆ นานจนแทบหมดความพยายาม ในที่สุดก็พบว่า เครื่องดนตรีที่ให้คุณภาพเสียงใกล้เคียงกับเสียงนกการเวกมากที่สุดคือ เครื่องที่ทำจากท่อไม่ไผ่ลำเล็กๆหลายลำ แต่ละลำมีลิ้นฝังแล้วจัดเรียงลำไม้ไผ่ส่วนที่ฝังลิ้นผนึกไว้ในเต้า บรรเลงด้วยการเป่าลมผ่านเต้าเข้าไปสั่นลิ้น นางทดลองและปรับปรุงเครื่องดนตรีชนิดนี้ทั้งรูปลักษณ์และวิธีเล่นจนเป็นที่พอใจ ตั้งใจว่าจักต้องนำออกแสดงต่อที่ชุมนุมชนให้เป็นที่ประจักษ์ มีผู้แนะนำให้นางหาทางแสดงถวายต่อหน้าพระที่นั่งพระมหากษัตริย์ จะทำให้เสียงดนตรีที่วิเศษอยู่แล้วมีเกียรติปรากฏเลื่องลือไปได้อย่างรวดเร็วด้วยความพยายามของนาง และความช่วยเหลือชี้นำของข้าราชบริพารผู้ใหญ่ นางได้มีโอกาสแสดงดนตรีชนิดนั้นต่อหน้าพระที่นั่งจนได้ นางได้บรรเลงเพลงหลายแนวทำนองให้ทรงสดับ ดูเหมือนองค์พระราชาจะตอบสนองนาง ด้วยอากัปกิริยาเยือกเย็นโดยตลอด ทำให้นางกังขาว่าเสียงดนตรีที่บรรเลงออกไป น่าจะไม่ต้องพระราชหฤทัย นางจึงเปลี่ยนทำนองลีลาใหม่ บรรเลงเป็นเสมือนเสียงนกการเวกร้องอยู่ริมธารน้ำตก มีเสียงจักจั่นเรไรร้องเซ็งแซ่ประสาน (น่าจะเป็นลายสุดสะแนน)

เมื่อพระราชาได้สดับเพลงนั้นก็ทรงพอพระทัย ตรัสว่า “เออ อันนี้แค่นดี” ซึ่งมีความหมายว่า “เออ อันนี้เข้มข้นดี”
คนทั้งหลายจึงเรียกเครื่องดนตรีชนิดนั้นว่า “แค่น” และกลายมาเป็น “แคน” ในที่สุด





( จากบทสัมภาษณ์ นายจันทร์ ผาบุตรา ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อพ.ศ. 2523)

ควารู้ทั่วไปเรื่องแคน

ควารู้ทั่วไปเรื่องแคน




ความรู้ทั่วไป เรื่องแคน

นักวิชาการด้านมานุษยดุริยางควิทยา จำแนกเครื่องดนตรีจำพวกแคนไว้ในกลุ่มเครื่องลม (Aerophone)ชนิดที่มีเสียงลิ้นอิสระ เสียงแคนเกิดจากการเป่า และการดูดกระแสลมผ่านลิ้นโลหะที่ฝังอยู่ในรูบากข้างลำท่อ ลิ้นแคนลิ้นเดิมให้เสียงระดับเดิมทั้งขาเป่า และขาดูดกระแสลมผ่าน จึงเรียกว่าเป็นลิ้นแบบอิสระ ดังกล่าวแล้ว
พ่อเปลื้อง ฉายรัศมี

การเป่าแคนใช้มือทั้งสองข้าง ใช้นิ้วทั้งสิบนิ้ว ผู้เป่าควบคุมระดับเสียงของลูกแคนได้ ด้วยการขยับปลายนิ้วมือทั้งสองข้างปิดเปิดรูนับ ซึ่งเจาะไว้ที่ส่วนเหนือเต้าของลูกแคนทุกลูก ลูกใดถูกปิดรู ลูกนั้นจะส่งเสียง นั่นคือ ใช้นิ้วบังคับระดับเสียง ใช้ลมบังคับเสียงและจังหวะ ตามอารมณ์ลายเพลง เสียงแคนที่ออกมานั้น มีทั้งทำนองเพลง เสียงประสาน เสียงสอดแทรก แสดงถึงอารมณ์ และความรู้สึกต่าง ๆ อย่างพร้อมมูลทีเดียว .....เป็นเครื่องดนตรีที่ไม่สามารถใช้ อุปกรณ์อีเลกทรอนิกส์ เลียนเสียงได้เหมือน เพราะอุปกรณ์อีเลกทรอนิกส์ ให้อารมณ์เพลงไม่ได้ ยิ่งถ้าได้หมอแคนที่มีความสามารถ มีความเชี่ยวชาญมากๆ มาเป่าแคน ยิ่งจะเพิ่มความไพเราะ ซาบซึ้งจับใจมากยิ่งขึ้น ฟังแล้ว เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า “ ออนซอน ” ยากที่จะหาเครื่องดนตรีอื่น ๆ มาเทียบได้นักดนตรีชาวไทยเรียกแคน 1 เครื่องว่า “แคน 1 เต้า” ....ในขณะที่นักดนตรีชาวลาว เรียกว่า “แคน 1 ดวง” แคนเต้าหนึ่งประกอบด้วยลูกแคนหลายลูก ลูกแคนต่างลูก ให้เสียงต่างระดับกัน ระบบเสียงของแคน จึงขึ้นอยู่กับระดับเสียงต่างๆ ของลูกแคนที่รวมอยู่ในแคนแต่ละเต้า
แคนทำจากไม้เฮี้ยน้อย ซึ่งช่างแคนไทยเรียกว่าไม้กู่แคน เกิดเสียงได้เพราะมีลิ้นโลหะติดอยู่ที่รอยเจาะข้างลำท่อลูกแคนลูกละลิ้น ลูกแคนแต่ละลูกมีระดับเสียงต่างกัน เพราะมีระยะห่างระว่างลิ้นกับรูแพวไม่เท่ากัน... รูแพวคือรูเสียงเจาะไว้ 2 รู เหนือและล่างลูกแคน ลูกแคนของแคน 1 เต้า จะถูกจัดเป็น 2 แพ สอดเรียงไว้ในเต้าแคน ผนึกส่วนที่ฝังลิ้นไว้ในเต้าแคน ด้วยขี้สูด มัดปลายแพลูกแคนที่โผล่ออกนอกเต้าทั้งด้านบนและด้านล่าง ด้วยตอกเครือหญ้านาง หรือตอกหวาย
การจำแนกประเภทของแคน จำแนกตามจำนวนลูกแคนที่ประกอบรวมกันอยู่ในเต้า มี 5 ประเภท คือ
แคนหก มีลูกแคน 6 ลูก (3 คู่)
แคนเจ็ด มีลูกแคน 7 คู่ (14 ลูก )
แคนแปด มีลูกแคน 8 คู่ (16 ลูก)
แคนเก้า มีลูกแคน 9 คู่ (18 ลูก)
แคนสิบ มีลูกแคน 10 ลูก (5 คู่)
แคนหกมีระดับเสียงอยู่ในมาตราเพนตะโทนิค (มี 5 โน้ต) นอกนั้น มีระบบเสียงเป็นมาตราไดอะโทนิค (มี 7โน้ต)
การเรียกบันไดเสียงของแคนแต่ละเต้า เรียกเป็นตัวเลขบอกจำนวนนิ้วโป้ง โดยยึดเอาลูกแคนเสียง “ลาต่ำ” (motive) เป็นเสียงหลัก ระยะห่างระหว่างลิ้นแคนกับรูแพว ที่เจาะไว้ส่วนล่างของลูกแคนนี้ วัดได้กี่นิ้วโป้ง ก็จะใช้เลขจำนวนนั้น เป็นชื่อเรียกบันไดเสียงของแคนทั้งเต้า เช่น ถ้าลูกเสียง “ลาต่ำ” ของแคนเต้าหนึ่ง วัดระยะห่างระหว่างลิ้นแคนกับรูแพวล่างได้ 7 นิ้วโป้ง ก็เรียกบันไดเสียงของแคนเต้านั้นว่าเป็น “แคนเจ็ดโป้” (โป้ เป็นภาษาอีสาน แปลว่านิ้วโป้ง) เทียบได้กับประมาณบันไดเอไมเนอร์หรือซีเมเจอร์ ของสเกลดนตรีสากล