วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

การเก็บและดูแลรักษาแคน

การเก็บและดูแลรักษาแคน


การเก็บและดูแลรักษาแคน 

แคน เป็นเครื่องดนตรีที่ต้องการความเอาใจใส่ ทะนุถนอมดูแลรักษา เป็นอย่างมาก เพราะว่าแคนเป็นเครื่องดนตรีที่เปราะบาง ชำรุดเสียหายง่าย ผู้ใช้จึงควรทราบวิธีการดูแลรักษาอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้
ควรจะเป่าอยู่เสมอ การเป่าบ่อย ๆ จะทำให้แคนมีเสียงดีและนุ่มนวล หากปล่อยไว้นาน ไม่เป่าเลย ลิ้นแคนอาจขึ้นสนิมเขียว สนิมดำ ทำให้เสียงเพี้ยนได้
ควรเก็บแคนไว้ในกล่องที่แข็งแรง และมีฝาปิดที่มิดชิด เพื่อกันการกระแทก กันแตก กันแมลงและฝุ่นมิให้ไปจับเกาะ ตามรูลูกแคนและตามลิ้นแคน จะทำให้แคนชำรุดได้ อย่างน้อยที่สุดก็ควรเก็บรักษาแคนไว้ในถุงผ้าที่ปิดได้สนิท และแขวนไว้ในที่ที่ทนทาน ปลอดภัย... หากวางตั้งไว้ อาจล้มแตกเสียหายได้
ไม่ควรนำแคนไปวางตากแดด หรือเอาไว้ใกล้ไฟ หรือเผลอวางไว้ในที่อุณหภูมิสูง เพราะจะทำให้ขี้สูดที่อุดตามเต้าแคนเยิ้ม ไปเกาะติดลิ้นแคน อาจเป็นสาเหตุให้เป่าไม่ดัง เพราะลิ้นแคนไม่สั่นสะเทือน
ไม่ควรนำแคนไปจุ่มน้ำ โดยเข้าใจผิดว่าจะเป็นการทำความสะอาดแคน เพราะจะทำให้ลิ้นแคนเป็นสนิมได้
ถ้าลูกแคนแตกเพียงเล็กน้อย อาจซ่อมแซมได้ โดยใช้กาวตราช้างติด หรือใช้เทปใสพันติดไว้ ให้คงรูปในสภาพที่ดีอย่างเดิม แต่ถ้าแตกมากก็ต้องเปลี่ยนลูกแคนนั้นใหม่ จึงจะใช้การได้ดีเช่นเดิม
ลูกแคนที่ แตกเลยรูแพวล่างขึ้นมาทางเต้าแคนก็ดี แตกเลยรูแพวบนลงมาทางเต้าแคนก็ดี จะทำให้เสียงเพี้ยน ต้องใช้กาวตราช้างติดรอยแตกให้สนิท แต่ถ้าแตกมาก ไม่สามารถติดซ่อมได้ ควรนำไปให้ช่างแคนเปลี่ยนลูกใหม่
การซ่อมแคนกรณีปัญหาลิ้นนอง ช่างแคนทุกคน สามารถซ่อมแก้ไขให้ดีได้ดังเดิม แต่หากเป็นการเปลี่ยนลูกแคน การเปลี่ยนลิ้นแคน ควรนำไปให้ช่างแคนที่ทำแคนเต้านั้น เป็นคนซ่อม จะดีที่สุด เพราะหากนำไปให้ช่างแคนคนอื่นเปลี่ยนลิ้น ลิ้นแคนที่ช่างแคนแต่ละคนใช้ อาจจะมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน อันเป็นสาเหตุให้ เมื่อใช้ลมเท่ากัน ลิ้นแคนเดิมกับลิ้นแคนใหม่ ให้เสียงดังไม่เท่ากัน... แต่ถ้าจำเป็น ควรให้ช่างแคนนั้น เปลี่ยนลิ้นแคนใหม่ทั้งหมด เพื่อคุณภาพเสียงที่ดี

Cr: http://pincansawmusic.blogspot.com/

ประเภทของแคน

ประเภทของแคน



ประเภทของแคน
ประเภทของแคน อาจแบ่งได้หลายลักษณะ ในที่นี้ จะแบ่งประเภทของแคน ใน 3 ลักษณะ คือ แบ่งตามจำนวนลูกแคน, แบ่งตามระดับเสียงหรือคีย์ แบ่งตามลิ้นแคน


แบ่งตามจำนวนลูกจะได้ดังนี้
แคนหก มีลูกแคน 6 ลูก (3 คู่)
แคนเจ็ด มีลูกแคน 7 คู่ (14 ลูก )
แคนแปด มีลูกแคน 8 คู่ (16 ลูก)
แคนเก้า มีลูกแคน 9 คู่ (18 ลูก)
แคนสิบ มีลูกแคน 10 ลูก (5 คู่)
โดยแคนที่นิยมและถือว่าเป็นมาตรฐานคือ แคนแปด













แบ่งตามระดับเสียงหรือคีย์ เช่น
แคนห้าโป้
แคนหกโป้
แคนเจ็ดโป้
แคนแปดโป้
แคนเก้าโป้...
จริงๆแล้ว การแบ่งแบบนี้ ไม่ใช่ประเภทของแคน แต่เป็นชื่อเรียกของคีย์แคน


แบ่งตามลิ้นแคน จะได้
แคนลิ้นเงิน
แคนลิ้นทอง (แดง)
แคนลิ้นทอง (เหลือง)
โดยแคนลิ้นเงิน เป็นแคนที่ให้เสียงไพเราะ นุ่มนวล เป็นที่นิยมของหมอแคนอาชีพ ที่สุด


เทคนิคการเป่าแคน

เทคนิคการเป่าแคน


.:: เทคนิคการเป่าแคน ::.

การเป่าแคนจะนั่งเป่าหรือยืนเป่าก็ได้ โดยมีวิธีการเป่าแคนดังนี้
1. จับแคนโดยใช้มือทั้ง 2 ข้าง จับที่เต้าแคน ให้แน่น ในอุ้งมือ
2. ใช้นิ้วทั้ง 5 ปิดรูเสียงตามที่ต้องการ
3. ใช้ปากเป่า โดยใช้ลมเข้า-ออก ตามเสียงที่ต้องการ
4. ขยับนิ้วตามเสียงที่ต้องการ




    หมอแคนสุวัฒน์  อยู่แท้กูล
 โน้ตแคน
มือซ้ายลูกที่
มือขวาลูกที่
ระดับเสียงที่ได้
1
2
โด
3
6
เร
4
7
มี
5-7
-
ฟา
6
3
ซอล
-
1-4
ลา
2
5
ที

    การใช้นิ้วปิดรูเสียงแคน
    โน้ตแคน
นิ้วมือซ้าย
ลูกที่
ระดับเสียงที่ได้
หัวแม่มือ
1
โด
ชี้
2-3
ที-เร
กลาง
4-5
มี-ฟา
นาง
6-7
ซอล-ฟา
ก้อย
8
เสพซ้าย

     การใช้นิ้วปิดรูเสียงแคน
     โน้ตแคน
               
นิ้วมือซ้าย
ลูกที่
ระดับเสียงที่ได้
หัวแม่มือ
1
ลา
ชี้
2-3
โด-ซอล
กลาง
4-5
ลา-ที
นาง
6-7
เร-มี
ก้อย
8
เสพขวา

ตำนานกำเนิดแคน

ตำนานกำเนิดแคน



ตำนานกำเนิดแคน

นายพรานผู้หนึ่งตามล่ากวางเข้าไปในป่าลึก บังเอิญไปได้ยินเสียงนกการเวก เสียงนั้นหวานเสนาะไพเราะจับใจเหลือประมาณ ทำเอาความเหน็ดเหนื่อยหิวกระหายของเขาปลาสน์สิ้น เมื่อกลับมายังหมู่บ้านก็อดไม่ได้ที่จะเล่าถึงเสียงอันวิเศษนั้นให้ใครต่อใครฟัง ทำเอาสาวแม่ม่ายนางหนึ่งรบเร้าขอติดตามเข้าไปในป่า เพื่อฟังเสียงนกการเวกนั้นให้ได้ นายพรานเองก็ยินดีให้นางติดตาม ในคราวเข้าป่าล่าสัตว์ในเที่ยวถัดมา เสียงของนกการเวกวิเศษจริงดังที่นายพรานเล่า หญิงแม่ม่ายได้ฟังแล้วติดใจ อยากจะจับมาเลี้ยงไว้ก็สุดปัญญา เพราะนกตัวเล็กบินว่องไว นางจึงพยายามจดจำเสียงนั้นไว้ให้แม่นยำ ตั้งใจว่าจักต้องประดิษฐ์เครื่องดนตรีสักอย่างหนึ่ง มาบรรเลงให้เหมือนเสียงนกการเวกนั้นให้จงได้นางได้ทดลองทำเครื่องดนตรีขึ้นหลายชนิด มีทั้งดีดสีตีเป่า แต่ก็ยังไม่มีเสียงใดเหมือนเสียงนกการเวกเลยสักเครื่องเดียว นางพยายามคิดค้นและประดิษฐ์เครื่องดนตรีชนิดใหม่ต่อไปเรื่อยๆ นานจนแทบหมดความพยายาม ในที่สุดก็พบว่า เครื่องดนตรีที่ให้คุณภาพเสียงใกล้เคียงกับเสียงนกการเวกมากที่สุดคือ เครื่องที่ทำจากท่อไม่ไผ่ลำเล็กๆหลายลำ แต่ละลำมีลิ้นฝังแล้วจัดเรียงลำไม้ไผ่ส่วนที่ฝังลิ้นผนึกไว้ในเต้า บรรเลงด้วยการเป่าลมผ่านเต้าเข้าไปสั่นลิ้น นางทดลองและปรับปรุงเครื่องดนตรีชนิดนี้ทั้งรูปลักษณ์และวิธีเล่นจนเป็นที่พอใจ ตั้งใจว่าจักต้องนำออกแสดงต่อที่ชุมนุมชนให้เป็นที่ประจักษ์ มีผู้แนะนำให้นางหาทางแสดงถวายต่อหน้าพระที่นั่งพระมหากษัตริย์ จะทำให้เสียงดนตรีที่วิเศษอยู่แล้วมีเกียรติปรากฏเลื่องลือไปได้อย่างรวดเร็วด้วยความพยายามของนาง และความช่วยเหลือชี้นำของข้าราชบริพารผู้ใหญ่ นางได้มีโอกาสแสดงดนตรีชนิดนั้นต่อหน้าพระที่นั่งจนได้ นางได้บรรเลงเพลงหลายแนวทำนองให้ทรงสดับ ดูเหมือนองค์พระราชาจะตอบสนองนาง ด้วยอากัปกิริยาเยือกเย็นโดยตลอด ทำให้นางกังขาว่าเสียงดนตรีที่บรรเลงออกไป น่าจะไม่ต้องพระราชหฤทัย นางจึงเปลี่ยนทำนองลีลาใหม่ บรรเลงเป็นเสมือนเสียงนกการเวกร้องอยู่ริมธารน้ำตก มีเสียงจักจั่นเรไรร้องเซ็งแซ่ประสาน (น่าจะเป็นลายสุดสะแนน)

เมื่อพระราชาได้สดับเพลงนั้นก็ทรงพอพระทัย ตรัสว่า “เออ อันนี้แค่นดี” ซึ่งมีความหมายว่า “เออ อันนี้เข้มข้นดี”
คนทั้งหลายจึงเรียกเครื่องดนตรีชนิดนั้นว่า “แค่น” และกลายมาเป็น “แคน” ในที่สุด





( จากบทสัมภาษณ์ นายจันทร์ ผาบุตรา ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อพ.ศ. 2523)

ควารู้ทั่วไปเรื่องแคน

ควารู้ทั่วไปเรื่องแคน




ความรู้ทั่วไป เรื่องแคน

นักวิชาการด้านมานุษยดุริยางควิทยา จำแนกเครื่องดนตรีจำพวกแคนไว้ในกลุ่มเครื่องลม (Aerophone)ชนิดที่มีเสียงลิ้นอิสระ เสียงแคนเกิดจากการเป่า และการดูดกระแสลมผ่านลิ้นโลหะที่ฝังอยู่ในรูบากข้างลำท่อ ลิ้นแคนลิ้นเดิมให้เสียงระดับเดิมทั้งขาเป่า และขาดูดกระแสลมผ่าน จึงเรียกว่าเป็นลิ้นแบบอิสระ ดังกล่าวแล้ว
พ่อเปลื้อง ฉายรัศมี

การเป่าแคนใช้มือทั้งสองข้าง ใช้นิ้วทั้งสิบนิ้ว ผู้เป่าควบคุมระดับเสียงของลูกแคนได้ ด้วยการขยับปลายนิ้วมือทั้งสองข้างปิดเปิดรูนับ ซึ่งเจาะไว้ที่ส่วนเหนือเต้าของลูกแคนทุกลูก ลูกใดถูกปิดรู ลูกนั้นจะส่งเสียง นั่นคือ ใช้นิ้วบังคับระดับเสียง ใช้ลมบังคับเสียงและจังหวะ ตามอารมณ์ลายเพลง เสียงแคนที่ออกมานั้น มีทั้งทำนองเพลง เสียงประสาน เสียงสอดแทรก แสดงถึงอารมณ์ และความรู้สึกต่าง ๆ อย่างพร้อมมูลทีเดียว .....เป็นเครื่องดนตรีที่ไม่สามารถใช้ อุปกรณ์อีเลกทรอนิกส์ เลียนเสียงได้เหมือน เพราะอุปกรณ์อีเลกทรอนิกส์ ให้อารมณ์เพลงไม่ได้ ยิ่งถ้าได้หมอแคนที่มีความสามารถ มีความเชี่ยวชาญมากๆ มาเป่าแคน ยิ่งจะเพิ่มความไพเราะ ซาบซึ้งจับใจมากยิ่งขึ้น ฟังแล้ว เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า “ ออนซอน ” ยากที่จะหาเครื่องดนตรีอื่น ๆ มาเทียบได้นักดนตรีชาวไทยเรียกแคน 1 เครื่องว่า “แคน 1 เต้า” ....ในขณะที่นักดนตรีชาวลาว เรียกว่า “แคน 1 ดวง” แคนเต้าหนึ่งประกอบด้วยลูกแคนหลายลูก ลูกแคนต่างลูก ให้เสียงต่างระดับกัน ระบบเสียงของแคน จึงขึ้นอยู่กับระดับเสียงต่างๆ ของลูกแคนที่รวมอยู่ในแคนแต่ละเต้า
แคนทำจากไม้เฮี้ยน้อย ซึ่งช่างแคนไทยเรียกว่าไม้กู่แคน เกิดเสียงได้เพราะมีลิ้นโลหะติดอยู่ที่รอยเจาะข้างลำท่อลูกแคนลูกละลิ้น ลูกแคนแต่ละลูกมีระดับเสียงต่างกัน เพราะมีระยะห่างระว่างลิ้นกับรูแพวไม่เท่ากัน... รูแพวคือรูเสียงเจาะไว้ 2 รู เหนือและล่างลูกแคน ลูกแคนของแคน 1 เต้า จะถูกจัดเป็น 2 แพ สอดเรียงไว้ในเต้าแคน ผนึกส่วนที่ฝังลิ้นไว้ในเต้าแคน ด้วยขี้สูด มัดปลายแพลูกแคนที่โผล่ออกนอกเต้าทั้งด้านบนและด้านล่าง ด้วยตอกเครือหญ้านาง หรือตอกหวาย
การจำแนกประเภทของแคน จำแนกตามจำนวนลูกแคนที่ประกอบรวมกันอยู่ในเต้า มี 5 ประเภท คือ
แคนหก มีลูกแคน 6 ลูก (3 คู่)
แคนเจ็ด มีลูกแคน 7 คู่ (14 ลูก )
แคนแปด มีลูกแคน 8 คู่ (16 ลูก)
แคนเก้า มีลูกแคน 9 คู่ (18 ลูก)
แคนสิบ มีลูกแคน 10 ลูก (5 คู่)
แคนหกมีระดับเสียงอยู่ในมาตราเพนตะโทนิค (มี 5 โน้ต) นอกนั้น มีระบบเสียงเป็นมาตราไดอะโทนิค (มี 7โน้ต)
การเรียกบันไดเสียงของแคนแต่ละเต้า เรียกเป็นตัวเลขบอกจำนวนนิ้วโป้ง โดยยึดเอาลูกแคนเสียง “ลาต่ำ” (motive) เป็นเสียงหลัก ระยะห่างระหว่างลิ้นแคนกับรูแพว ที่เจาะไว้ส่วนล่างของลูกแคนนี้ วัดได้กี่นิ้วโป้ง ก็จะใช้เลขจำนวนนั้น เป็นชื่อเรียกบันไดเสียงของแคนทั้งเต้า เช่น ถ้าลูกเสียง “ลาต่ำ” ของแคนเต้าหนึ่ง วัดระยะห่างระหว่างลิ้นแคนกับรูแพวล่างได้ 7 นิ้วโป้ง ก็เรียกบันไดเสียงของแคนเต้านั้นว่าเป็น “แคนเจ็ดโป้” (โป้ เป็นภาษาอีสาน แปลว่านิ้วโป้ง) เทียบได้กับประมาณบันไดเอไมเนอร์หรือซีเมเจอร์ ของสเกลดนตรีสากล