วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เสียงแคนแทนใจอ้าย

เสียงแคนแทนใจอ้าย

นั่งเหงาๆ คึดฮอดคนทางไกลพุ้นบายเอาแคนขึ้นมาเป่า
อยากเห็นหน้าหม่อมเจ้าคนที่อ้ายเอิ้นว่าแฟน
สุดสะแนนเสียงแคนห่าว ฝากเถิงสาวผู้ไกลห่าง
เป่ากลบความอ้างว้างลายลำเต้ย ลายลำส่อง ล่องยาว
ฟังเสียงลายลมพัดพร้าว คือจั่งสาวเจ้ายิ้มใส่
เป่าลายใหญ่ลายน้อย คือกลอยใจน้องฮ้องแอ่วลำ
เป่าทางสั้น แทนถ้อยคำรำพันในใจอ้ายที่ฮักห่วง
ฝากไปแทนความหวง อย่าสุลืมทางอ้าย คือลายน้อยสร้อยมะโน
ลายลำเพลินเล่นโป้(โป้ : หัวแม่มือ) แทนโตชายผู้นั่งเป่า
ฝากไปหอมแก้วเจ้าลายเศร้าข้าวต้องลม
พรมไล่นิ้ว สะบัดปลิว พริ้วแล้นแตร่
ฝากเทคแคร์คือลายแม่ฮ่างกล่อมลูก ผูกใจเจ้าให้ห่วงหลัง
ลายโปงลางซิ่ง คือตู๋หลูนางเจ้าเอิ้นใส่
สังศิลป์ชัย คึดฮอดดงบักหว่า เคยพาน้องไปนั่งกิน
ลายภูไทอ้อน ศรีทันดร นกไส่บินข่วมท่ง
ลายล่องโขง น้ำโตนต้อน คึดเห็นตอนเจ้าฟ้อนใส่
ลายแมงภู่ตอมดอกไม้ แทนใจอ้ายบอกฮักนาง

ขอขอบคุญผญา บ้านมหา.com

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ลายแคนทางยาว(ลายใหญ่)



ลายแคนทางยาว(ลายใหญ่)

การเป่าแคนลายทางยาว(ลายใหญ่)

ลายแคนทางยาว เป็นทำนองลายแคนที่สามารถนำไปใช้ในการบรรเลงได้ทั้งการเป่าลายใหญ่และลายน้อย เป็นกลุ่มลายแคนที่เป่าเพื่อแสดงอารมณ์โศกเศร้า คร่ำครวญ เสียใจ เหงา หรือเปล่าเปลี่ยว เป็นการเป่าบรรยายเนื้อหาที่ค่อนข้างยาว ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนจะไม่จบง่ายหรือใช้เวลายาวนาน มีลักษณะเหมือนการไหลเอื่อยของน้ำในแม่น้ำ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง “ลายล่อง” ซึ่งมีจังหวะการบรรเลงที่ช้ากว่าลายทางสั้น มีทั้งแบบเคาะจังหวะลงตัวและแบบยืดจังหวะได้โดยอิสระ เมื่อนำมาบรรเลงและติดสูดโดยใช้เสียง ลา (ลูกที่ 8 แพขวา) กับเสียง มี (ลูกที่ 7 แพขวา) เป็นเสียงเสิร์ฟประสานหลัก (เสียง Drone) จะเป็นลายแคนที่มีระดับเสียงทุ้มใหญ่ จึงมีชื่อเรียกว่า “ลายใหญ่”

การเป่าแคนลายใหญ่ (กลุ่มเสียงทุ้มใหญ่) สามารถเป่าได้หลากหลายทำนองตามจินตนาการของผู้เป่า เช่น เป่าบรรเลงเพื่อบรรยายภาพพจน์ สภาพของท้องถิ่น ธรรมชาติ สัตว์ สิ่งของ ประเพณีความเชื่อ ฯลฯ ซึ่งการบรรเลงดังกล่าวจะทำให้เกิดเป็นลายแคนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย และยังมีลายแคนที่เป็นทำนองลายใหญ่อีกมากมายที่ยังไม่ได้นำมาเสนอในบทนี้ จึงขอให้ผู้สนใจได้ศึกษาและรวบรวมต่อไป สำหรับในบทนี้จะขอยกตัวอย่างการเป่าแคนลายใหญ่ไว้พอสังเขปเท่านั้น ซึ่งมีตัวอย่างดังนี้
ตัวอย่าง การเป่าแคนลายใหญ่ (ทางยาว)


นอกจากนี้ยังมีเป่าบรรเลงในลายต่างๆอีกมากมาย เช่น 
ลายสังข์สินชัย ลายน้ำโตนตาด ลายลำภูไท ลายรำโปงลาง ลายตังหวาย ลายเต้ย(เพลงเต้ย) ฯลฯ

Cr: https://drkaen.wordpress.com/

การฝึกเป่าแคน ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก


การฝึกเป่าแคน ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก

ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก(ลายใหญ่) เป็นลายแคนหมอแคนพื้นบ้านในอดีดได้พัฒนามาจากเพลงกล่อมเด็กของคนอีสานในสมัยก่อน(ย้อนเวลากลับไปหลัง 40-50 ปีมาแล้ว) คนอีสานสมัยก่อนเวลาให้ลูกนอนเปลจะเรียกว่า “นอนอู่”ซึ่งเป็นสำเนียงภาษาอีสาน ขณะที่กล่อมลูกนอนผู้เป็นแม่ เป็นยาย หรือ ผู้ที่มีอายุมาก(ในยุคนั้น) ก็จะร้องเป็นทำนองบทกล่อมของคนอีสาน ดังบทกล่อมบางตอน ที่ว่า “นอนสาล่า บุดตาแม่สิก่อม นอนอู่แก้วสาแล้วแม่สิกวย อื่อ อื้อ แม่ไปไฮหมกไข่มาหา แม่ไปนาหมกปลามาป้อน แม่ไปส่อนหมกฮวกมาหา …….” ซึ่งกล่อมเป็นทำนองสำเนียงภาษาพูดของคนอีสานจากนั้นไม่นานเด็กที่นอนในอู่ก็จะเคลิ้มหลับไป ซึ่งบทกล่อมอันเยือกเย็นนี้เองเป็นแนวทางให้ศิลปินผู้มีอารมณ์ศิลป์ในยุคสมัยนั้นนำทำนองบทกล่อมนี้มาร้อยเรียงเป็นเสียงดนตรี โดยมีเจตนารมย์ที่จะบรรยายให้เห็นถึงสภาพหญิงม้ายที่ต้องทนต่อความทุกข์ยากลำบากในการเลี้ยงดูลูกและการทำมาหากินโดยลำพังคนเดียว ลายแม่ฮ้างกล่อมลูกนำมาบรรเลงเป็นลายแคนได้ทั้งลายน้อยและลายใหญ่ ดังนี้
โน้ตทำนอง ลายแม่ฮ้างกล่อมลูก (ลายใหญ่)


การฝึกเป่าแคนลายนกไซบินข้ามทุ่ง



การฝึกเป่าแคนลายนกไซบินข้ามทุ่ง

ลายนกไซบินข้ามทุ่ง เป็นลายแคนที่นำมาบรรเลงเพื่อพรรณนาหรือบรรยายภาพพจน์ตามธรรมชาติและสื่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ในฤดุการทำไร่ ทำนา ของสังคมในชนบท เป็นการบรรยายให้เห็นสภาพที่ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลาย มีแหล่งอาหารของสัตว์นานาชนิด และจากการสังเกตกิริยาอาการของสัตว์ของหมอแคนในอดีด จึงได้ถ่ายทอดจินตนาการนั้นๆ ออกมาในรูปของเสียงดนตรีที่พวกเขาชื่นชอบ เช่นนำเอาลักษณะท่าทางการบินของนกที่บินออกหากินหรือบางพวกก็อพยพย้ายถิ่นฐานบินผ่านท้องฟ้าไป ศิลปินผู้มีอารมณ์ศิลป์เหล่านั้นจึงนำมาถ่ายทอดเป็นแนวทำนองของดนตรีดังกล่าว กลายเป็นลายแคนที่ขื่อ “ลายนกไซบินข้ามทุ่ง” และมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ลายเซิงโปงลาง” ถ้าเป็นการบรรเลงแนวทำนองที่เป็นลายใหญ่ ทางยาว จะติดสูดที่เสียง มี ลูกที่ 7 แพขวา และเสียง ลาสูงลูกที่ 8 แพขวา เพื่อทำเป็นเสียงประสานยือน(เสียงDrone) มีแนวทำนองดังตัวอย่าง ดังนี้
โน้ตทำนอง ลายนกไซบินข้ามทุ่ง (ลายใหญ่)


การเป่าแคน ลายนกไซบินข้ามทุ่ง (ลายใหญ่)

การฝึกเป่าแคน ลายภู่ตอมดอก



การฝึกเป่าแคน ลายภู่ตอมดอก


ลายภู่ตอมดอก ลายภู่ตอมดอกดั้งเดิมจริงๆแล้วเป็นลายทางสั้นที่เลียนแบบเสียงของสัตว์ ในธรรมชาติ คือ แมลงภู่ ซึ่งคนอีสานจะเรียกว่า “แมงภู่” ตัวสีน้ำเงินแก่มองดูจนขียว เวลาบินตอมดอกไม้จะมีเสียงดังหึ่งๆ วนเวียนอยู่รอบๆดอกไม้แล้วค่อยๆ บินวนเข้าวงในดอกไม้จนในที่สุดก็โฉบเอาเกสรดอกไม้ออกไป ลักษณะเสียงของแมลงภู่จะมีทำนองลีลาช้าๆ ก่อนแล้วจะเร็วกระชั้นเข้าในที่สุด หมอแคนผู้มีอารมณ์ศิลปินได้ดัดแปลงกิริยาอาการทางธรรมชาติของแมลงภู่นี้ออกมาเป็นทำนองของเสียงดนตรี โดยมุ่งเลียนแบบเสียงของหมู่แมงภู่ที่กำลังบินหึ่งๆ อยู่นอกก่อนช้าๆ แล้วค่อยกระชับเข้ามาตามลำดับ จนในที่สุดถึงจุดที่แมงภู่ขย้ำดอกไม้อย่าเมามัน เมื่อฟังลีลาของเสียงแคนจะได้ยินเป็นเสียงเล็กเสียงน้อย มีการเล่นเสียงเป็นกรณีพิเศษให้เหมือนกับเสียงแมลงภู่ที่กำลังตอมดอกไม้จริงๆ ความละเอียดบรรจงของเสียงแคนจะเหมือนคุณลักษณะของหมู่ภมรทั้งหลายที่พยายามดูดหรือนำเอาน้ำหวานจากเกสรไปโดยไม่ให้เกิดการชอกช้ำ ความสามารถของหมอแคนในช่วงนี้จึงเปรียบเหมือนความประณีตและสมบูรณ์ด้วยศิลปะในชั้นเชิงการเคล้าเกสรของหมู่ภมรที่ฉลาดนั่นเอง ในระยะหลังต่อมาได้มีผู้นำเอาลีลาอาการของหมู่ภมรนี้ไปดัดแปลงเป็นทำนองแคนขึ้นใหม่ โดยบรรเลงเป็นแนวทำนองแบบลายทางยาวที่มีเนื้อหาคล้ายทำนองเดิม สามารถนำไปบรรเลงได้ทั้งในทำนองลายใหญ่และลายน้อย สำหรับในเนื้อหานี้จะเสนอการเป่าในแนวของลายใหญ่ทางยาว ดังนี้

โน้ตทำนอง ลายภู่ตอมดอก (ลายใหญ่ ทางยาว)



การเป่าลายภู่ตอมดอก (ลายใหญ่ ทางยาว)

การฝึกเป่าแคนลายลมพัดพร้าว



การฝึกเป่าแคนลายลมพัดพร้าว


ลายลมพัดพร้าว(ลายใหญ่) การเป่าแคนลายลมพัดพร้าว จัดอยู่ในกลุ่มลายแคนประเภทการบรรยายภาพพจน์ กล่าวคือศิลปินผู้เป็นหมอแคนพื้นบ้านในอดีดได้สร้างสรรค์แนวทำนองนี้ขึ้นเพื่อสะท้อนจินตนาการให้เห็นถึงความงาม อ่อนโยน อ่อนไหว ของธรรมชาติแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มชนนั้นๆในอดีด เข่น ต้นไม้ ผู้คน สัตว์ สิ่งของ แหล่งน้ำ ขนบธรรมเนียมประเพณี และสถานที่ต่างๆ แล้วนำมาร้อยเรียงและถ่ายทอดจินตนาการอันสร้างสรรค์นั้นด้วยเสียงดนตรีที่เขาชื่นชอบ นั่นคือแคนนั่นเอง เมื่อจดจำสืบทอดกันมาเป็นเวลานานก็ย่อมมีการสร้างสรรค์ทำนองให้แปลกแหวกแนวออกไปบ้างเพื่อเป็นเอกลักษณ์ของหมอแคนแต่ละคน ลายแคนที่มีชื่อว่า “ลายลมพัดพร้าว” ก็มีความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมดังกล่าวเช่นกัน คือ ผู้ประพันธ์ทำนองนี้ต้องการถ่ายทอดเจตนารมย์ไปสู่ผู้ฟังตามจินตนาการของตนเพื่อให้เห็นความงามหรือความไพเราะและเยือกเย็นของสายลมที่กำลังพัดใบมะพร้าวโอนเอนอ่อนไหวไปมาช้าๆเนิบนาบ ได้ยินเสียงสายลทที่พัดใบมะพร้าวปลิวสะบัดคล้ายลีลาเสียงดนตรีที่มีความไพเราะ จึงเรียกชื่อว่า“ลายลมพัดพร้าว” นอกจากนี้ในปัจจุบันยังได้นำเอาลายลมพัดพร้าวไปบรรเลงประกอบการแสดงที่เรียกว่า “รำภูไทสามเผ่า” ด้วย ซึ่งมีแนวทำนองที่บรรเลงเป็นลายใหญ่ ดังนี้

โน้ตทำนอง ลายลมพัดพร้าว(ลายใหญ่)


การฝึกเป่าแคนลายลมพัดไผ่



การฝึกเป่าแคนลายลมพัดไผ่


การเป่าแคน ลายลมพัดไผ่ เป็นลายแคนที่เกิดจากการบรรยายภาพพจน์อีกแบบหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงศิลปะหรือสภาพความงามทางธรรมชาติอีกด้นหนึ่ง ที่มีความเกี่ยวข้องกับสภาพวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และความผูกพันของคนกับสิ่งแวดล้อมในช่วงกาลเวลานั้นๆ อีกทั้งยังเป็น การบรรยายให้เห็นถึงศิลปะและความงามที่มีอยู่ในธรรมชาติแล้วนำมาถ่ายทอดในลักษณะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชนนั้นๆ ดังจะเห็นได้จากศิลปะการแสดงกลุ่มชนในแถบฝั่งขวาของแม่น้ำโขง เช่น จังหวัดนครพนม จะนำเอาลายแคนที่เรียกชื่อว่า “ลายลมพัดไผ่” นำไปประกอบการแสดงที่ชื่อว่า “ลำศรีโคตรบูรณ์” ซึ่งการบรรเลงลายทำนองของแคนอาจจะแตกต่างกันไปตามจินตนาการและการใช้ลูกเล่นหรือกลเม็ดเด็ดพลายของหมอแคนแค่ละคนที่พยายามจะสร้างสรรค์เสียงแคนให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน แต่สิ่งที่ยังคงไว้ก็คือแนวทำนองของแคนที่เป็นลายทางยาว และกลุ่มเสียงที่เป็นทำนองของคำว่า “ลายใหญ่” คือใช้เสียง ลา และเสียง มีสูง เป็นเสี ยงประสานยืน(เสียงDrone)ตลอดแนวทำนองการบรรเลง ดังตัวอย่างการฝึกเป่าลายลมพัดไผ่ ดังนี้

การเป่าแคนลายลมพัดไผ่ (ทำนองลายใหญ่ทางยาว)

ลายลำเพลิน(ลายใหญ่)



ลายลำเพลิน(ลายใหญ่)

การเป่าแคนลายลำเพลิน เป็นการแคนลายลำเพลิน เป็นการเป่าแคนประกอบการละเล่นพื้นเมืองของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในแถบอีสานตอนกลางทางฝั่งขวาแม่น้ำโขง และอีสานตอนบนบางส่วน ซึ่งแพร่กระจายลึกเข้าไปทางตะวันตกถึงแถบจังหวัดชัยภูมิและเพชรบูรณ์ การแสดงที่เรียกชื่อว่าหมอลำประเภทลำเพลินกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในช่วงประมาณ ปี พ.ศ. 25105 ถึง พ.ศ. 2525 หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มได้รับความสนใจนอ้ยลงเรื่อยๆ เนื่องจากวัฒนธรรมดนตรีตะวันตกได้หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เด็กๆ และเยาวชนส่วนใหญ่หันไปนิยมในวัฒนธรรมดนตรีและการแสดงของชาวตะวันตกกันมาก จนกระทั่งปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเด็กๆและเยาวชนที่สนใจในดนตรีและการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของคนอีสานนั้นมีน้อย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนอีสานจะต้องร่วมมือกันหาทางอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ดีงามของตนไว้ โดยเฉพาะเสียงลำเสียงแคนที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมดนตรีของคนอีสาน การเป่าแคนลายลำเพลินก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะหาชมการแสดงได้ยากแต่ก็สามารถนำแคนมาบรรเลงเป็นทำนองที่เรียกว่า “ลายลำเพลิน” ได้ ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีการพัฒนาแนวทำนองเป็นหลายทำนอง เช่น ลำเพลินแก้วหน้าม้า ลำเพลินมะโนราห์ ลำเพลินประยุกต์ ตามควานิยมของแต่ละท้องถิ่นดังนี้เป็นต้น ในเรื่องนี้จะนำเสนอการฝึกเป่าลายลำเพลิน(เป่าแบบลายใหญ่ ทางยาว) ดังนี้

การฝึกเป่าลายลำเพลินแก้วหน้าม้า


ลายเต้ย(ลำเต้ย)



ลายเต้ย(ลำเต้ย)

ลายเต้ย เป็นลายแคนที่ใช้ประกอบการลำ ที่เรียกว่า “ลำเต้ย” ซึ่งเป็นการลำที่แทรกอยู่ในช่วงของการที่เรียกว่า “ลำล่อง” กล่าวคือในขณะที่หมอลำกำลังลำล่องตามทำนองลำไปเรื่อยๆ นั้นจะมีการเต้ยสลับกลอนลำไปเป็นช่วงๆ เพื่อเพิ่มความสนุกสนานและเนื้อหาสาระของการลำ การเต้ยจะมี 3 แแบ คือ เต้ยธรรมดา เต้ยโขง และ เต้ยพม่า โดยปกติจะเริ่มที่การเต้ยแบบธรรมดาก่อน แล้วจึงจะเป็นเต้ยพม่าหรือเต้ยโขงสลับกันไปตามเนื้อหาสาระของการลำ ฉะนั้นหมอแคนก็ต้องเป่าแคนประกอบการลำตามเนื้อหาทำนองที่หมอลำแสดง บางครั้งก็จะเป็นการลำเต้ยเพื่อตอบโต้หรือคู่กันระหว่างหมอลำฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง ฉะนั้นหมอแคนก็ต้องเป่าลายแคนให้กลมกลืนกับสำเนียงลำของหมอลำทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และในการเป่าลายเต้ยแบบลายใหญ่ก็ติดสูดแคนที่เสียง มี ลูกที่ 7 แพขวา และเสียงลาสูง ลูกที่ 8 แพขวา เช่นเดียวกับการเป่าลายใหญ่อื่นๆ ดังตัวอย่าง

การเป่าลายเต้ย(ลายใหญ่)

Cr: https://drkaen.wordpress.com

ลายอ่านหนังสือใหญ่(ลายล่องใหญ)



ลายอ่านหนังสือใหญ่(ลายล่องใหญ)


 ลายล่องใหญ่ ที่เรียกชื่อว่า “ลายล่องใหญ่”หรือ“ลายอ่านหนังสือใหญ่”เพราะมีท่วงทำนอง คล้ายกับการอ่านหนังสือผูก ซึ่งเป็นหนังสือโบราณ ที่จารึกหรือเขียนลงบนใบลานแล้วนำมาร้อยด้วยด้ายเล็กๆ ติดกัน หนังสือนี้มักจะมีความยาวหลายๆ หน้า ผู้อ่านจะอ่านด้วยทำนองค่อนข้างช้าและมีการเอื้อนเสียง
การติดสูด
จะติดสูดที่ลูกแคนลูกที่ 8 และลูกที่ 7 แพขวา เพื่อใช้เป็นเสียงประสานยืน(เสียง Drone) หรือบางครั้งก็เรียกว่า เสียงเสิร์ฟประสานหลัก ซึ่งก็หมายถึงการประสานทำนองด้วยเสียง ลา และเสียง มี เช่นเดียวกัน
,Center>